กี่เพ้าในภาษาจีนเรียกว่า “ฉีผาว” (旗袍) เป็นเครื่องแต่งตัวเพราะว่าเพศหญิงชาวจีน มีประเภทเหมือนเสื้อ มีชายเสื้อยาวปกคลุมท่อนขา ขนาดพอดีตัว ด้านข้างมีตะเข็บผ่าเพื่อให้ก้าวขาได้สบาย รูปแบบของฉีผาวในปัจจุบัน ได้รับการปรับปรุงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้มีรูปทรงแนบกับสรีระ เพื่อเน้นทรวดทรงของผู้ใส่ เป็นสมัยนิยมที่การตั้งกฎเกณฑ์ในวงการคนชั้นสูงของจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง จนถึงช่วงศึกสงครามโลกครั้งที่สอง มีการแปลงให้ชายฉีผาวสั้นลง ปรับปรุงแบบคอปก กับเนื้อผ้าแบบต่างๆ
ฉีผาว เป็นเครื่องแต่งตัวของหญิงแมนจูในยุคราชวงศ์ชิงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มาจากคำว่า ฉี (旗, ธง) และ ผาว (袍, เสื้อ) ในปี ค.ศ. 1636 ผู้ปกครองจีนในขณะนั้นได้ออกกฎหมายบีบบังคับให้ทุกคน รวมทั้งชาวฮั่นให้แต่งพระองค์และตัดผมแบบแมนจู ในภาษาอังกฤษเรียกเครื่องแต่งกายแบบนี้ว่า Cheongsam มาจากเสียงอ่าน chèuhngsàam ในสำเนียงกวางตุ้ง ของศัพท์เซี่ยงไฮ้คำว่า zǎnze (長衫, ‘long shirt/dress’) และเรียกเสื้อผ้าอาภรณ์ในลักษณะเดียวกัน สำหรับเพศชายว่า Changshan (長衫; Chángshān)
ซาน จี้ฟาง เขียนบทความถึงกี่เพ้าในนิตยสารข่าวเป่ยจิงรีวิว ว่า ในทศวรรษ 1980-1990 ชุดกี่เพ้าปรากฏโฉมใหม่ที่ใส่กันเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่เป็นบุคลากรต้อนรับตามโรงแรมและภัตตาคาร ชุดกี่เพ้าแบบนี้ตัดเย็บลวกๆ เน้นแต่สีสันฉูดฉาดและกระโปรงสั้นเกินไป กำจัดภาพเดิมของกี่เพ้าไปโดยปริยาย เจ้า จินหลี่ สาวพนักงานบริษัทโฆษณา กล่าวว่า ในตู้เสื้อผ้าของตน ไม่มีชุดกี่เพ้าแม้แต่ตัวเดียว ตนไม่อยากใส่ เพราะกลัวคนคิดว่าทำงานเป็นสาวต้อนรับขับสู้หน้าร้านอาหาร หรือแม้แต่โชว์เกิร์ล จะอย่างไรก็ตาม หวัง จินเฉียว เจ้าของและผู้บุกเบิกบริษัท เป่ยจิง เก๋อเก๋อ ฉีเพ้า ผู้นำการผลิตชุดกี่เพ้าในจีน กล่าวว่า คนรุ่นใหม่มิควรลืมหรือเมินชุดกี่เพ้า เพราะชุดนี้แสดงถึงบางสิ่งที่ถ่ายทอดจากอดีตและเข้ากับล่าสุดได้เป็นอย่างดี “ชุดของจีนเป็นความต่อเนื่องทางธรรมเนียมปฏิบัติจารีตที่ผสานกับชีวิตยุคใหม่ได้ เราควรจะใส่ชุดกี่เพ้าในงานต่างๆ รวมถึงปรับให้ใส่สบายในชีวิตประจำวันได้” จิน ไท่จุน กล่าวเสริม